Translate

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556


ประวัติผ้าบาติก



 ผ้าบาติกหรือผ้าปาเต๊ะ  เป็นคำที่เรียกผ้าชนิดที่มีการทำโดยใช้เทียนปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีและใช้วิธีการแต้ม  ระบาย  หรือย้อมในส่วนที่ต้องการให้ติดสี ผ้าบาติกบางชิ้นอาจจะผ่านขั้นตอนการปิดเทียน  แต้มสี ระบายสี  และย้อมสีนับสิบๆครั้ง  ส่วนผ้าบาติกอย่างง่ายอาจทำโดยการเขียนเทียนหรือพิมพ์เทียน แล้วจึงนำไปย้อมสีที่ต้องการ
                 คำว่าบาติก ( Batik) หรือ ปาเต๊ะ” ( Batek) มาจากคำว่า Ba =  Art  และ  Tik = จุด เดิมเป็นคำในภาษาชวา  ใช้เรียกผ้าที่มีลวดลายเป็นจุด  คำว่า ติก” มีความหมายว่า  เล็กน้อยหรือจุดเล็กๆมีความหมายเช่นเดียวกับ คำว่า  ตริติก  หรือตาริติก  ดังนั้นคำว่า  บาติก  จึงมีความหมายว่าเป็นงานศิลปะบนผ้าที่มีลวดลายเป็นจุดด่างๆ
                   วิธีการทำผ้าบาติกในสมัยดั้งเดิมใช้วิธีการเขียนด้วยเทียน (Wax  writing /Wax hand draw)  ดังนั้น  ผ้าบาติกจึงเป็นลักษณะผ้าที่มีวิธีการผลิตโดยใช้เทียนปิดในส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสี  และใช้วิธีระบาย  แต้มและย้อมในส่วนที่ต้องการให้ติดสี  แม้ว่าวิธีการทำผ้าบาติกในปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมากแล้วก็ตามแต่ลักษณะเฉพาะประการหนึ่งของผ้าบาติก  ก็คือ  จะต้องมีวิธีการผลิตโดยใช้เทียนปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีหรือส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีซ้ำอีก


แหล่งกำเนิด
                     แหล่งกำเนิดของผ้าบาติกมาจากไหนยังไม่เป็นที่ยุติ นักวิชาการชาวยุโรป หลายคนเชื่อว่ามีในอินเดียก่อนแล้วจึงแพร่หลายเข้าไปในอินโดนีเซีย  อีกหลายคนเชื่อว่ามาจากอียิปหรือเปอร์เซีย
                      แม้ว่าจะได้มีการค้นพบผ้าบาติกที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศอื่นๆ  ทั้งอียิปต์  อินเดีย  และญี่ปุ่น แต่บางคนก็ยังเชื่อว่า  ผ้าบาติกเป็นของดั้งเดิมของอินโดนีเซีย  และยืนยันว่าศัพท์เฉพาะที่เรียกวิธีการและขั้นตอนการทำผ้าบาติก  เป็นศัพท์ภาษาอินโดนีเซีย  สีที่ใช้ย้อมก็เป็นพืชที่มีในประเทศอินโดนีเซีย  แท่งขี้ผึ้งที่ใช้เขียนลายก็เป็นของอินโดนีเซีย   ไม่เคยมีในอินเดียเลย  เทคนิคที่ใช้ในอินโดนีเซียสูงกว่าที่ทำกันในอินเดีย  และจากการศึกษาค้นคว้าของ N.J. Kron   นักประวัติศาสตร์ชาวดัทช์ ก็สรุปไว้ว่าการทำโสร่งบาติกหรือโสร่งปาเต๊ะ เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนติดต่อกับอินเดีย

                 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี  ได้ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือบุหงารำไป
หน้า 1ไว้ว่า   แม้ว่าจะมีการค้นพบลักษณะผ้าบาติกในดินแดนอื่นๆ นอกจากอินโดนีเซีย แต่ก็คงเป็นลักษณะเฉพาะท้องถิ่น วิธีการปลีกย่อยจะแตกต่างกัน   ตามวิธีการทำผ้าของชาติต่างๆ  ที่จะให้มีลวดลายสีสันผ้าบาติกของอินโดนีเซียก็น่าจะ มีกำเนิดในอินโดนีเซียเอง  คงไม่ได้รับการถ่ายทอดจากชาติอื่นๆส่วนการทำผ้าโปร่งบาติกนั้นคงมีกำเนิดจากอินโดนีเซีย ค่อนข้างแน่นอน

วิวัฒนาการการทำผ้าบาติกในอินโดนีเซีย
                การทำผ้าบาติกในระยะเวลาแรกคงทำกันเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูง  หรือทำเฉพาะในวัง  แต่ก็มีผู้ให้ความเห็นขัดแย้งว่า  น่าจะเป็นศิลปะพื้นบ้านใช้กันเป็นสามัญ  ผู้ที่ทำผ้าบาติกมักจะเป็นผู้หญิงและทำหลังจากว่างจากการทำนา
                ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ประชาชนชวาได้ปรับปรุงวิธีการทำผ้าบาติกด้านการแก้ไขวิธีการผสมสี แต่ทั้งนี้ก็วิวัฒนาการมาจากความรู้ดั้งเดิม   ในคริสต์ศตวรรษที่ 13  การทำผ้าบาติกผูกขาดโดยสุลต่านและถือว่าการทำผ้าบาติกเป็นศิลปะในราชสำนัก  โดยมีสตรีในราชสำนักเป็นผู้ผลิต  ผ้าบาติกในยุคนี้เรียกว่า “คราทอน”(Karton) เป็นผ้าบาติกที่เขียนด้วยมือ( Batik Tulis )  แต่เมื่อผ้าบาติกได้รับความนิยมมากขึ้นและมีลูกค้ามากมาย การทำผ้าบาติกได้ขยายวงกว้าง มากขึ้นการผูกขาดโดยครอบครัวสุลต่านก็สิ้นสุดลงศิลปะการทำผ้าบาติก  ได้แพร่หลายไปสู่ประชาชนทั่วไป
               ผ้าบาติกในระยะแรกมีเพียงสีครามและสีขาว  ในศตวรรษที่ 17 ได้มีการค้นพบสีต่างๆอีก เช่น สีแดง   สีน้ำตาล   สีเหลือง   สีต่างๆ เหล่านี้ได้มาจากพืชทั้งสิ้น   ต่อมาก็รู้จักผสมสีเหล่านี้ทำให้ออกมาเป็นสีต่างๆ   ภายหลังจึงมีการค้นพบสีม่วง   สีเขียว   และสีอื่นๆ อีกในระยะปลายศตวรรษที่ 17 ได้มีการสั่งผ้าลินินสีขาวจากต่างประเทศเข้ามา   นับเป็นความก้าวหน้าในการทำผ้าบาติกอีกก้าวหนึ่งโดยเฉพาะเทคนิคการระบายสีผ้าบาติก  เพราะเริ่มมีการใช้สีเคมีในการย้อมการระบายสี ซึ่งสามารถทำให้ผลิตผ้าบาติได้จำนวนมากขึ้นและได้พัฒนาระบบธุรกิจผ้าบาติกจนกลายเป็นสินค้าออกในปี ค.. 1830  ชาวยุโรปได้เลียนแบบผ้าบาติกของชวาและได้ส่งมาจำหน่ายที่เกาะชวาในปี ค.. 1940  ชาวอังกฤษก็ได้พยายามเลียนแบบให้ดียิ่งขึ้น  เพื่อส่งมาจำหน่ายที่เกาะชวาเช่นเดียวกัน
              ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา   ได้มีการทำเครื่องหมายในการพิมพ์ผ้าบาติกโดยทำเป็นแม่พิมพ์โลหะทองแดง   ซึ่งเรียกว่า “จั๊บ”(Cap) ทำให้สามารถผลิตผ้าบาติกได้รวดเร็วขึ้น  ต้นทุนก็ถูกลงทดแทนผ้าบาติกลายเขียนแบบดั้งเดิม  การทำผ้าบาติกด้วยแม่พิมพ์ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์พื้นเมืองในลักษณะของอุตสาหกรรมในครัวเรือน  ประชาชนก็เริ่มทำผ้าบาติกเป็นอาชีพมากขึ้น  การผลิตผ้าบาติกจากเดิมที่เคยใช้ฝีมือสตรีแต่เพียงฝ่ายเดียว  เริ่มมีผู้ชายเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตโดยเฉพาะการพิมพ์เทียนและการย้อมสี  สำหรับการแต้มสีลวดลายยังใช้ฝีมือสตรี เช่นเดิม
              ความนิยมในการใช้ผ้าบาติกโดยเกาะชวา  เมื่อก่อนใช้กันเฉพาะสตรีและเด็กเท่านั้น ต่อมาได้ใช้เป็น เครื่องแต่งกายของหนุ่มสาวมี ชนิด คือ
             1.โสร่ง  (Sarong) เป็นผ้าที่ใช้นุ่ง โดยการพันรอบตัว  ขนาดของผ้าโสร่งโดยทั่วไปนิยมผ้าหน้ากว้าง42 นิ้ว  ยาว หลาครึ่ง  ถึง 3 หลาครึ่ง  ผ้าโสร่งมีลักษณะพิเศษคือ ส่วนที่เรียกว่า ”ปาเต๊ะ”  หมายถึง ส่วนที่เรียกว่า หัวผ้า  โดยมีลวดลาย สีสันแปลกต่างไปจากส่วนอื่นๆในผ้าผืนเดียวกัน
             2. สลินดัง  (Salindang)  เป็นผ้าซึ่งใช้นุ่งทับกางเกงของบุรุษหรือเรียกว่า  “ผ้าทับ” เป็นผ้าที่เน้นลวดลายประดับหรือชายผ้าสลินดังมีความยาวประมาณ  หลา กว้างประมาณ นิ้ว สตรีนิยมนำผ้าสลินดังคลุมศีรษะ
               3. อุเด็ง  (Udeng)  หรือผ้าคลุมศีรษะ  โดยทั่วไปจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส  ผ้าชนิดนี้สุภาพบุรุษใช้โพกศีรษะเรียกว่า ”ซุรบาน”สำหรับสตรีจะใช้ทั้งคลุมศีรษะ และปิดหน้าอกเรียกว่า ”เกิมเบ็น” (Kemben)  ผ้าอุเด็งนิยมลวดลายที่เป็นกรอบสี่เหลี่ยม  ผ้าคลุมชนิดนี้ไม่ปิดบ่าและไหล่เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ทำงานหนักเพื่อจะได้เคลื่อนไหวได้สะดวก
                สำหรับผ้าสลินดัง ภายหลังได้ทำขนาดให้ยาวขึ้นโดยใช้ผ้าหน้ากว้าง  42 นิ้ว ยาว 4-5 หลา ต่อมาได้มีการดัดแปลงเป็นเครื่องแต่งกายอื่นๆ ได้มีการใช้ผ้าบาติกนิยมใช้กันอย่างกว้างขวางทั้งบุรุษ   สตรี  เด็ก  ที่ได้พยายามปรับปรุงและพัฒนาการทำผ้าบาติกให้มีความก้าวหน้าไปพร้อมๆ กับการพัฒนาการด้านอื่นๆ จนกลายเป็นสินค้าที่ถูกใจ ต่างชาติได้จัดจำหน่ายเป็นสินค้าออก  ซึ่งทำให้ผ้าบาติกและเทคนิคการทำผ้าบาติกแพร่หลายออกไปสู่ประเทศอื่นๆอย่างกว้างขวาง

                ในประเทศไทยได้มีการทำผ้าบาติกลายพิมพ์เทียนมาก่อนในปี พ.. 2483 ที่อำเภอสุไหงโก-ลก  จังหวัดนราธิวาส โดยสองสามี-ภรรยาชาวไทยเชื้อสายมลายูชื่อ นายแวมะ  แวอาลี (ปัจจุบันท่านได้ถึงแก่กรรม) และนางแวเย๊าะ  แวอาแด  ในยุคแรกได้ผลิตเป็นผ้าคลุมหัวสไบไหล่(Kain lepas)โดยใช้วิธีแกะสลักลวดลายบนมันเทศและมันสำปะหลังมาทำเป็นแม่พิมพ์ ต่อมาได้ผลิตในรูปแบบของผ้าโสร่งปาเต๊ะ(Batik Sarong)โดยใช้แม่พิมพ์โลหะที่ผลิตในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะในแถบ จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย  ต่อมาภายหลัง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมได้เข้ามามีบทบาทส่งเสริมและเผยแพร่การทำผ้าบาติกพื้นฐานตามแนวเทคนิคของกรมส่งเสริมฯ ซึ่งส่วนใหญ่มักนิยมใช้โซดาแอสเป็นสารกันสีตก  ทางภาคเหนือของไทยได้มีการทำผ้าบาติกมานาน จะรู้จักในนามผ้าบาติกใยกัญชาย้อมด้วยสีอินดิโก้ เพียงสีเดียวโดยฝีมือของชาวเขาเผ่าม้งในภาคเหนือ ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะได้รับอิทธิพลศิลปะบาติกจากประเทศจีนตอนใต้

                ปลายปี .. 2523  ประเทศไทยได้ถือกำเนิด ผ้าบาติกลายเขียนเทียนระบายสี” (Painting Batik)ซึ่งเป็นผ้าติกที่เขียนลายเทียนด้วยจันติ้ง (Cantimg) ระบายสีลวดลายบนผืนผ้าทั้งผืนด้วยพู่กัน ไม่มีการย้อมสีโดยใช้สี REACTIVE DYES  จากประเทศมาเลเซีย ผลิตในเยอรมันแล้วเคลือบกันสีตด้วยโซเดียมซิลิเกตเป็นสารกันสีตกแบบถาวร โดย  นายเอกสรรค์  อังคารวัลย์   เป็นคนแรกที่ได้นำวิธิการทำผ้าบาติกแบบระบายมาเผยแพร่วิธีการทำผ้าบาติกแนวใหม่นี้ โดยศึกษามาจากประเทศมาเลเซีย และได้เผยแพร่เป็นวิทยาธารเพื่อการศึกษาครั้งแรกแก่คณาจารย์ภาควิชาศิลปะ คณะวิชามนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์  วิทยาลัยครูยะลา(ผศ.นันทา  โรจนอุดมศาสตร์ เป็นหัวหน้าภาควิชาในขณะนั้น)   ตั้งแต่ปี พ.. 2523  ได้มีการสอนการทำผ้าบาติกแก่นักศึกษาวิทยาลัยครูยะลาในเรื่องบาติกลายเขียนและบาติกย้อมสี
              พ.. 2524    วิทยาลัยครูยะลา (โดย ผศ. นันทา  โรจนอุดมศาสตร์ )ได้เริ่มทดลองทำผ้าบาติกลายเขียนระบายสี และสอนการทำผ้าบาติกเป็นกิจกรรมในรายวิชาเลือกของหลักสูตร ปกส.สูง  วิชาเอกศิลปกรรม
              พ.. 2525    สอนการทำผ้าบาติกในรายวิชาศิลปะพื้นบ้าน ในระดับปริญญาตรีศิลปศึกษา  และได้ทำการสอนต่อมาในรายวิชาบาติก วิชาเอกออกแบบประยุกต์ศิลป์ ระดับอนุปริญญาจนถึงปัจจุบัน  วิทยาลัยครูยะลาได้ทำการเผยแพร่ความรู้ทางด้านบาติแก่ชุมชน โดยเขียนเป็นบทความลงหนังสือพิมพ์ วารสาร และทางสถานีโทรทัศน์ นอกจากนี้ ยังมีการจัดอบรมและจัดนิทรรศการเผยแพร่ การทำผ้าบาติกทั้งลายเขียนและลายพิมพ์ ตามช่วงระยะเวลาดังนี้
              กันยายน  พ..  2527    ร่วมแสดงนิทรรศการผ้าบาติก และสาธิตในงาน “กระจูด” ณ จังหวัดนราธิวาส จัดโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นการแสดงเทคนิคการทำบาติกลายเขียนเทียนระบายสี ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก
              เมษายน   พ..  2528    ร่วมจัดนิทรรศการและสาธิตการทำผ้าบาติกลายเขียนเทียนระบายสีและบาติกลายพิมพ์ ในงานศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านทั่วประเทศ ณ จังหวัดภูเก็ต(เป็นช่วงเวลาที่บาติกลายเขียนเทียนเริ่มเข้าจังหวัดภูเก็ตเป็นครั้งแรก โดยมี .ชูชาติ  ระวิจันทร์(ลุงชู) อาจารย์หัวหน้าคณะภาควิชาเอกศิลปกรรม วิทยาลัยครูภูเก็ตขณะนั้นเป็นผู้สืบสานต่อในจังหวัดแถบทะเลอันดามัน (ปัจจุบันท่านได้ถึงแก่กรรม)
            พฤษภาคม   พ..  2529   ร่วมจัดนิทรรศการ และสาธิตการทำผ้าบาติกลายเขียนเทียนระบายสี ในงานมหกรรม ศิลปวัฒนธรรมทั่วประเทศ ณ วิทยาลัยครูเชียงใหม่
           พ..  2531   ร่วมจัดนิทรรศการ และสาธิตการทำผ้าบาติกลายเขียนเทียนระบายสี ณ สวนอัมพร กรุงเทพมหานคร

            นอกจากนี้วิทยาลัยครูยะลา (โดย ผศ. นันทา  โรจนอุดมศาสตร์ ) ยังได้เดินทางไปจัดนิทรรศการ และสาธิตในกรุงเทพมหานครอีกหลายครั้ง อันมีผลทำให้บาติกลายเขียนเทียนระบายสีเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว และเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วประเทศมาจนถึงปัจจุบันนี้





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น